หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อการผลิตไวน์ (ประมาณเดือนกันยายน) เมื่อการหมักในถังหมัก (Vats) ครั้งแรกเสร็จสิ้น จะมีการเลือกถังหมักที่ดีที่สุดเพื่อถ่ายเทลงไปถังไม้โอ้ค (Barrels) เพื่อการหมักที่ต่อเนื่องในห้องเก็บไวน์เป็นเวลา 14-20 เดือน
ในเดือนมีนาคมปีถัดไปไวน์จะถูกชิมโดยผู้ผลิต (Chateau) นักวิจารณ์ไวน์ และผู้เชี่ยวชาญ พร้อมตัดสินคุณภาพของไวน์ จากนั้นผู้ผลิตไวน์จะตีราคาไวน์ต่อขวด แต่จะยังไม่ส่งมอบไวน์นั้นจนกระทั่ง 1 ปีครึ่งหรือ 2 ปีถัดมา หรือเมื่อใดก็ตามที่ผู้ผลิตรู้สึกได้ว่าถึงเวลาในการบรรจุขวดแล้ว ซึ่งนี่คือช่วงเวลาของ “En Primeur” โดยทุกการสั่งซื้อจะต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนภายใน 30 วัน
คุณประโยชน์ของการซื้อ “En Primeur”
เป็นการยืนยันว่าจะได้ไวน์ในราคาเริ่มต้น ซึ่งปกติแล้วนักสะสมและผู้รักไวน์ จะทราบดีถึงราคาที่แพงขึ้นในอนาคตของไวน์ระดับท็อปคลาส ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งในรูปแบบของการลงทุน หรือการสะสมในราคาเริ่มต้นของไวน์ (ปกติจะเป็นราคาที่ต่ำที่สุด) และสามารถทำกำไรจากการขายต่อได้ในภายหลัง
ราคาของ “En Primeur” ในตอนเปิดตัวนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพและชื่อเสียงของผู้ผลิต สิ่งสำคัญอีกสิ่งคือผู้ซื้อสามารถมั่นใจคือแหล่งที่มาของไวน์เมื่อซื้อในช่วง “En Primeur”
ใครซื้อ “En Primeur” บ้าง
ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเคาะประตูผู้ผลิต (Chateau) และแจ้งว่าขอซื้อไวน์ซักขวด ตามประเพณีแล้วไวน์จะถูกจัดสรรค์โดยโบรคเกอร์ผู้จัดการไวน์ซึ่งเรียกว่า négociants จากนั้นจะเสนอขายให้กับผู้นำเข้าและผู้ค้าส่งไวน์ จากนั้นจึงไปยังร้านค้าไวน์และภัตตาคาร
ตามปกติแล้วผู้ที่ซื้อไวน์ในช่วง “En Primeur” ล้วนแต่คือผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมไวน์ (เช่น ร้านค้าไวน์ ร้านค้าส่ง ร้านค้าปลีก โบรคเกอร์ และ négociants) อย่างไรก็ดีผู้ที่หลงใหลในไวน์จะเข้าร่วมการสั่งจองไวน์ในช่วงนี้ ด้วยเหตุผลการได้ประโยชน์จากทั้งทางด้านสินค้าและราคา โดยไวน์มักจะถูกจัดสรรค์ให้กับผู้ที่สั่งซื้อต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายปีก่อน
เราจะซื้อ “En Primeur” ได้อย่างไร
ด้วยวัฒนธรรมการซื้อขายไวน์ที่มีมาเป็นร้อยปี จึงทำให้ผู้ที่ได้เปรียบทางการเงินสำหรับผู้ผลิตไวน์ เช่น ผู้ค้า โบรคเกอร์ และ négociants ผู้มีสัมพันธ์อันดีมายาวนานกับผู้ผลิตได้รับการจัดสรรค์ “En Primeur” หรือ “การเปิดตัวครั้งแรก” ไป ด้วยการชำระเงินล่วงหน้า ซึ่งอาจมีการหมุนเวียนหรือนำมาจัดสรรค์เพื่อขายในบางโอกาสและเหตุผล